No products in the cart.
“FUGAZI”จุดกำเนิดเป็น “EMO”
เขาว่ากันไว้ว่า Emo เนี่ยมันมีรากของมันที่เกิดมาจาก “Hardcore”และ “Punk” ก็นั่นแหละครับ ฟังไม่ผิดหลอกครับวงที่เป็นหัวหอกริเริ่มวิถีแห่ง Emo นั่นก็คือ Rites of Spring คณะหัวขบถยุคใหม่ที่เบื่อหน่ายในวิถีเดิมๆของฮาร์ดคอร์สายทรูที่มัวแต่ด่าสังคม พวกเค้าหยิบยกประเด็นของตนเองขึ้นมาพูดเรื่องราวความปวดร้าวที่อยู่ในใจ (ทนและฝืนดูบุญบั้งไฟ)ไม่มีเธอออออ~~
รวมถึงปฏิวัติดนตรี ฮาร์ดคอร์แบบดั้งเดิมให้มีความสละสลวยมากขึ้นมีเมโลดี้มากขึ้น ไอ้เพลงยุคเดิมๆ มันจะค่อนข้างสั้นๆ สับๆแล้วจบด้วยการกระชากจิตกระชากใจพวกเขาก็ยืดท่อนให้มันยาวออกไปและอีกวงที่เกิดตามกันมาติดๆในตอนนั้นก็คือ Embrace ที่มีเจตนารมณ์ข้างต้นเหมือนกัน กลายเป็นว่าสองวงนี้สร้างซีนดนตรีใหม่ๆให้วงการฮาร์ดคอร์ในรัฐวอชิงตัน ดี.ซี. สมัยนั้นผู้คนให้คำนิยามแนวนี้กันว่า “Emotional Hardcore” และยกให้2วงนี้เป็นตัวพ่อแห่งยุคเลยก็ว่าได้
*คำว่า Emo ในอีกนิยาม คือคำที่พวกสายทรู เอาไว้แซะพวกลูกผสม ทำเพลงแหวกแนว ฟิลประมานว่า ร็อคตุ๊ดอะไรประมานนั้นคำว่าอีโมในยุคนั้น มันถูกตีความไปต่างๆนาๆจากความคิดส่วนบุคคล เพราะข่าวสารและ อินเตอร์เน็ตยังไม่มีมันเลยเป็นการพูดต่อๆกันไปในสมัยนั้น การเข้าใจคำว่า “อีโมของเราก็เลยไม่เท่ากันในแต่ละคน”
ต่อมา Ian Mackaye จากวง Embrace และ Guy Picciotto จากวง Rites of Spring ก็ไปตั้งวงกันใหม่ด้วยกันที่ ชื่อว่า “Fugazi” ที่ทุกคนต้องรู้จักกันดีอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาเป็นหนึ่ง
จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ทางดนตรีที่สำคัญซึ่งวงนี้ได้สร้างแรงขับเคลื่อนครั้งใหญ่ให้กระแสเพลงใต้ดินและเป็นเเรงบันดาลใจ บันดาลแนวคิดให้วงยุคหลังไปทั่วโลกจริงๆครับในยุคเดียวกันนั้นมัน
เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Revolution Summer” มันเป็นช่วงแห่งการ Creative สิ่งใหม่ๆ สำเนียงใหม่ๆยัดลงไปในเพลงในยุคนั้น ทำให้ผู้คนสนใจในซีนนี้กันมากขึ้น และแสดงจุดยืนทางสังคมมากขึ้นในตอนนั้นคำว่า Emotional Hardcore มันดูเรียกยากๆใช่มะ มันก็เลยถูกเรียกให้สั้นลง จนกลายเป็น Emo Core (ซึ่งในยุคนั้นไม่มีใครชอบคำนี้เลย)
และจนสุดท้ายมันก็กลายมาเป็น คำว่า “Emo” ที่เราใช้กัน ใน ปัจจุบัน นี่แหละครับ!! บทความถัดไปคือรอยต่อของยุคสมัยที่ Fugazi ได้ส่งไม้ต่อจาก 80’s ไปสู่ 90’s ใครคือผู้รับไม้ต่อเดี๋ยวเรามาดูกันครับ