No products in the cart.
Nu-Metal คืออะไรมันเริ่มมาตอนไหนเล่นกันยังไง?
Nu-Metal คืออะไร? มันเริ่มมาตอนไหนเล่นกันยังไง? ปฏิเสธไม่ได้ว่าวัยรุ่น Gen X -Y ที่เติบโตมาในยุค 90’s – 2000’s คงไม่มีใครไม่รู้จักดนตรีแนวนี้จุดเริ่มของ นู-เมทัล หรือ นิว-เมทัล ที่เราเรียกๆกันติดปากเนี่ย ไทม์ไลน์ยุครุ่งเรืองที่สุดก็น่าจะอยู่ในช่วงกลาง ทศวรรษที่ 1990ยาวมาจนต้นยุค 2000’s สังเกตุได้ว่าที่มาที่ไปก่อนจะมาเป็นนูเมทัลเนี่ยมันคือยุคกรั้นจ์ที่รุ่งเรืองสินะกรั้นจ์ที่เราเล่าไว้ใน E.P. ก่อนนั่นแหละ แนวดนตรีนูเมทัลเนี่ยมันคือการผสมผสานหลากหลายแนวดนตรีเข้าด้วยกันอย่างลงตัวได้รับอิทธิพลมากมายจากหลายหลายแขนง อาทิเช่น
– Heavy Metal
– Alternative Metal
– Rap Metal
– Funk Metal
– Industial Metal
– Groove Metal
– Grunge และ Post-Grunge
– Hardcore และ HardcorePunk
– Rock n Roll
– Trash
และ Hiphop
วงตัวพ่อตัวแม่ที่ก่อให้เกิดกำเนิดให้โต และเป็นเเรงบันดาลใจในยุค 80 – 90 ก็มีเยอะโคตรๆเอาตัวต่อนๆละกันเช่น
– Run DMC
– the Beastie Boys
– Public Enemy
– Slayer
– 311
– Biohazard
– Anthrax
– Cypress Hill
– Sepultura
หรือตัวพ่อในช่วงต้น 90’s อย่างคณะ Rage Against The Machine ที่ปลุกระดมปลุกจิตกระชากใจให้ใครหลายๆคนเกิดความฮึกเหิมฉีกความเชื่อเดิมๆว่าคนธรรมดามันไม่สามารถงัดกับอำนาจปกครองได้ วงนี้จริงๆต้องหาเวลาทำคอนเทนท์แยกออกมาเดี่ยวๆน่าจะมันส์กว่าไส้ในของดนตรี Nu-Metal ที่แท้ทรูนั้น มันประกอบไปด้วย เครื่องดนตรีพื้นฐานทั่วไปเช่นเบส กลอง กีต้าร์ นี่แหละ แต่!!! เล่นยังไงให้ขบถคิดยังไงทำยังไงถึงจะปลุกอารมณ์คนฟังได้ โอเค เรามาว่ากันที่กีต้าร์ก่อนแนวนี้เด่นๆเลยกีต้าร์เนี่ย แม่งจะจูนสายให้ต่ำ กว่าแสตนดาร์ตล่ะกัน ก็เเล้วแต่วงที่พอใจจะจูนให้มันย้วยมันยานขนาดไหน ก็แล้วแต่ ความชอบของ player เลยครับจะ Drop D เบาๆ หรือ หรือ Drop C# (จูนทุกสายลงครึ่งเสียง) แล้วดรอปสายบนสาย6อ่ะ ลงไป 1 เสียง
หรือจะดรอป C,B,Bb, อะไรก็แล้วแต่ตามสะดวกของการใส่เบอร์เลือกขนาดของสายกีต้าร์นั่นแหละ บางวงที่กีต้าร์6สาย มันต่ำไม่หนำใจฉันพวกก็ล่อ 7 สายไปเลยแล้ว Drop ต่ำลงไปจาก B เป็น A A เป็น G#,G ก็ว่าไปยานยิ่งกว่าถุงก่แฟโบราณเสียอีกครับ! เวลาเเกะเพลงวงพวกนี้แล้วปวดหัวฉิบหาย จูนให้กูเล่นได้อยู่แค่วงเดียว แล้วแต่ละอัลบั้มแม่งก็จูนไม่เหมือนกันด้วยนะจะบ้าตาย ไลน์ที่เล่นๆส่วนมากก็จะเป็นริฟวนๆอยู่แถวๆสายบนๆ เน้นหนักๆหน่วงๆ กรู้ฟๆ แล้วอาจจะซัดพาวเวอร์หล่อๆมาดๆในท่อนฮุก พอถึงท่อนโซโล่ก็ท่องๆไว้ว่ากูจะไม่โซโล เหมือนพี่ๆยุคก่อนๆ กูจะเล่นริฟเเยก ออกมาให้เป็นท่อนเบรคดาวน์ที่โคตรเท่ห์ แม่งโคตรจะคูลๆนี่แหละจุดขายเลยก็ว่าได้
ทุกครั้งที่เล่นท่อนนี้พวกเขาก็จะทำหน้าเหม็นหน้ายู่ยืนดูคนเเกว่งหมัดใส่กัน อีกท่าประจำมือกีต้าร์แนวนี้ก็คงหนีไม่พ้นกัน ก็คือการสะพายกีตาร์ต่ำๆแบบสุดสายแล้วก้มตัวคร่อมๆลงไปโยก กีต้าร์เรียดพื้น จนหลังเกือบจะหักแบบไม่สนโรคปวดหลังจะถามหา นั้นแหละ มือกีต้าร์ยุคนู’ มือเบสก็พอกัน ดรอปตามๆกันไปจูนต่ำๆจน Low – end แทบจะมุดดิน แถมสะพายเบสก็ต่ำตามมีอกีต้าร์ไปติดๆ มองขึ้นไปบนเวทีก็นึกว่าก้มหาอะไรกัน เอะเก็บปิ๊กหรือเปล่านะ? จะเห็นคนที่สะพายสูงๆอยู่ก็มีไม่กี่คนที่เห็นที่จำได้ก็คงจะเป็น ไรอั้น มาร์ตินี่ มือจากคณะ Mudvayne ที่สะพายเบสสูงยันคอ ยืน Slap เบสดัง แกร๊งๆ มือกลองแนวนี้ก็ไม่เน้นสับ ที่เน้นกรู้ฟ เน้นสแลม คิดไม่ออกก็หวดฉาบหวดแฉ เบิ้ลกระเดื่องไป ก็ตามนั้นจนกลายเป็นโรคติดต่อกันหลายวง นักร้องแนวนี้ ถ้าไม่แร็พโจ้วไปเลย ก็ร้องลอยๆหลอนๆสลับ กับการสำรอกว๊ากๆ แผดๆ เเบบ ป๋าชิโน่ หรือจะไปร้องหล่อๆเสียงสูงแบบท่าน เชสเตอร์ เบนนิงตั้น และอีกคนที่เป็นไอคอนวิธีการร้องแบบหยิกๆหยอะๆ สบถคำประหลาดๆไม่เป็นภาษา ก็มี ป๋า โจนาธาน เดวิด ฟ้อนแมนของ korn ของเรานี่แหละครับ เนื้อหาในเพลงก็จะพูดนู้นพูดนี่ แขวะเเซะชาวบ้านไปทั่ว น้อยเนื้อต่ำใจตัวเอง อกหักรักคุด สัจธรรมชีวิตต่าง เรื่องจังไรใต้สะดือ เเร๊พพรีเซนต์วงตัวเองว่าข้าเจ๊งเปรี้ยวเยี่ยวราดกันขนาดไหนไปจนกระทั้งประท้วงรัฐบาลแซะพวกชั้นสูงและอีกมากมาย ก็สุดแต่แล้วที่จะนำมาเล่า อีกเครื่องดนตรีที่นิยมใช้แต่งแต้มสีสันให้กับวงดนตรีแนวนี้ก็คงหนีไม่พ้น เครื่อง “สแครชไข่” หรือ Turntable (ลองทำเสียงสเเครชไข่ให้ฟังหน่อยครับ)และยังมีการนำ Synthesizer มาใช้ในเพลงของหลายๆวงอีกด้วยดีเจที่เรารู้จักกันดี ก็คงหนีไม่พ้นมิสเตอร์ ฮานและ DJ Lethal แห่งคณะ Linkinpark ทั้งหมดทั้งมวลนี่คือไส้ในหลายๆขดหลายๆม้วนของดนตรีนูเมทัลครับ
ถ้าพูดถึงคำว่า Nu-Metal เนี่ยหลายๆคนก็คงจะจำภาพในยุคนั้นว่า แฟนชั่นที่นายควรแต่งเสื้อผ้าหน้าผม ตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนออกจากบ้านเนี่ย “ถ้าไม่ใส่หมวกแก็ปก็คงจะเเร็พไม่ได้”
บางคนแม่งก็ถัก Dreadlock เสื้อฮูดเสื้อยืด Skatewear ไม่งั้นไม่กล้าออกจะบ้าน ป่านว่าบ้านฉันอยู่เมืองหนาวทั้งที่ด้านในเหงื่อไหลเหนี่ยวหนับจนล้อเบียด กางเกง Dickies ตัวโคร่งโหลดๆเป้าต่ำกว่าหัวเข่า รองเท้าต้อง Adidas , Vans , DC , Osiris ก็ว่าไป เวลาจะเดินต้องเท้าเป๋ๆหน่อย เดินหย่อมๆหลังคร่อมนิดๆ นิ้วมือทั้งสองข้างติดกันเป็นผังผืดที่เตรียมจะโจ้วๆเมื่อเจอเพื่อนได้ทุกเวลาบางคนก็ชิคาโน่มาเลย แม็กซิกันทั้งดุ้น นั่นแหละครับที่กล่าวมาทั้งหมดเนี้ยะผมเป็นแบบนั้นจริงๆในสมัย ม ปลายข้าวปลาไม่กินจ้องแต่จะเก็บตังค์ซื้อ option ตามน้าเฟร็ดเดิร์ธและผมเชื่อว่าหลายๆคนเอวก็คงผ่านการแต่งตัวแบบนี้แน่ๆ ใช่มะ? ซึ่ง Icon ในยุคนั้นก็คงหนีพ้นป๋า Fred Dust จากคณะ Limp Bizkit (ต้อยหมวกแดงของพวกเรา) ที่ป่วนเวที Woodstock 1999 จนคนดูคลั้งกันเป็นซอมบี้นั่นแหละครับ วงในยุคนั้น แม่งโคตรเยอะโคตรยาวสาวยังงัยก็ยังไม่หมด ถ้าต่อแถวแบบ 1 ต่อ 1 ไล่ไปตั้งแต่
– Korn
– Limp Bizkit
– Linkin Park
– Slipknot
– Mudvayne
– P.O.D.
– Alien ant Farm
– Deftones
– Drowning Pool
– Kittie
– Taproot
– Coal Chamber
– III Nino
– Rize (Japan)
– Evanescence
– Static-X
– Paparoach
– Disturb
– Staind
– System of Down
– Incubus
โอ้ย พอๆๆเอาแค่นี้ก่อน แม่งเยอะมากๆ ยุคนั้นมันกลายเป็นวัฒธรรมเป็น Culture สุดฮิตติดเทรนด์ไปทั่วโลก MTV หรือ Channel V เปิดมันทุกวัน เปิดอยู่นั้นแถมยังมีรายการร็อคเพียวๆ
อย่าง V will Rock You และ MTV Rock by DJ Alex ในปี 2004 (ถ้าจำไม่ผิด ถ้าผิดประการใดขออภัยใครจำได้ช่วยหน่อย คอมเม้นต์พูดคุยกันได้) ภาพยนต์ BlockBuster ดังๆ ก็ใช้เพลงจากวงเหล่านี้ไปประกอบกันทั้งนั้นรวยเละ!! เงินทองสะพัดสุดๆในยุคนั้นนับว่าเป็นแนวดนตรีร้อนแรงเป็น Mainstream ในช่วงหลายปีนั้นจริงๆครับ ไทม์ไลน์ของยุคนี้เดินยาวนานมาถึงช่วงกลางถึงปลาย ทศวรรษที่ 2000 ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วย MetalCore และ Emo ก่อนที่จะวนกลับในบัจจุบันที่เป็น Nu-Metal Genใหม่ๆ ที่ผสมผสานกลิ่นอายของนูเมทัลดั้งเดิมแต่เพิ่มเติมความโมเดิร์นในยุคปัจจุบันเข้าไป