จุดเริ่มต้นของดนตรีแนว “Electronic”

” Evolution of Electronic Music “
วันนี้เรามาพูดถึงดนตรีอีกแขนงที่อยู่คู่กับมนุษยชาติมาอย่างยาวจนถึงทุกวันนี้ นั่นคือดนตรีแนว Electronic นั่นเองครับ ในปัจจุบันนั้น ดนตรีแนวนี้มี Subgenre ที่แตกแยกออกไปถึง 360 กว่าแนว และมีแนวโน้มที่วิวัฒนาการเพิ่มขึ้นไปอีกในอนาคตดนตรีแนวเนี้ยมีหลากรูปแบบ ตั้งแต่ไว้ใช้เต้นรำไป ยัน บำบัดรักษาเลยหละครับจะว่าง่ายๆดนตรีแนวนี้มันก็คือ การทดลองดีๆนี่แหละครับเพราะว่าผลลัพธ์ของมันก่อให้เกิดสิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลาแต่ก่อนที่จะมาเป็นดนตรี Electronic ที่เราได้ฟังกันในปัจจุบัน
จุดกำเนิดเริ่มต้นมันมาจากหลายยุคหลายสมัยค่อยๆ พัฒนาจากการสร้างเครื่องให้กำเนิดเสียงสังเคราะห์ ตั้งแต่เมื่อปีร้อยปีแล้วโน้นน่ะครับแต่การประพันธ์เพลงโดยใช้เครื่องดนตรีสังเคราะห์ต่างๆให้ออกมาเป็นเพลงอิเล็กทรอนิคจริงๆ เเบบเป็นรูปธรรมจะมีไทม์ไลน์อยู่ช่วง ปี 1940-1950 เป็นต้นมา
เดี๋ยวผมจะมาสรุปให้ฟังนะจั้ฟก่อนที่จะมีเสียงเพลงก็ต้องมีเครื่องดนตรีที่ให้กำเนิดเสียงถูกไหมครับ ? ซึ่งเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิคชิ้นแรกของโลกคือ “เทเลฮาโมเนี่ยม” หรืออีกชื่อคือ “ไดนาโมโฟน” ผลิต โดยนาย ธาดเดียส เคฮิลล์ [Thaddeus Cahill)
เรียกมันง่ายๆว่ามันคือ”บักโทรโข่งยัก 555″ถูกผลิตขึ้นในปี 1898และแล้วเสร็จในปี 1901 ซึ่งมีน้ำหนักถึง 7 ตัน และ เทเลฮาโมเนี่ยม MK II มีน้ำหนักเกือบสองร้อยตัน ซึ่งเครื่องนี้ต้องใช้คนเล่นถึง 2 คน (4มือ) เครื่องนี้เคยถูกนำออกมาใช้ในการแสดง ดนตรีสดต่อหน้าผู้ชมด้วยล่ะ เพลงที่เล่นส่วนมากจะเป็นเพลง Classic ของ Bach (บาค) หรือ Chopin [โชแปง] แต่ให้เสียงที่เป็นเอกลักษณ์กว่า ในเวลาต่อมาเครื่องนี้ก็ถูกลืมและขายเป็นเศษเหล็กเพราะด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นต้องขอบคุณเจ้าโทรโข่งยักษ์อันนี้ที่เป็นแรงบันดาลของแฮมมอนด์ออร์แกนที่เรารู้จักดีในปัจจุบัน(ก่อนหน้าที่จะมีเจ้าเครื่องนี้)
ก็มีนักประดิษฐ์หลายๆท่าน ได้คิดค้นเครื่องดนตรีประหลาดๆที่มีกลไกลของไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่มากมายตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 18-19 นู้นเลยครับ (ช่วง ค.ศ.1700-1900)แต่ข้อมูลที่ถูกพูดถึงมากที่สุด คงเป็นเจ้า เทเลฮาโมเนี่ยมนี่แหละ กับอีกชิ้นมันชื่อเรียกว่า “Electro-Harmonic Telegraph” ที่ผลิตโดย “เอลิช่า เกรย์” ในปี ค.ศ.1874 (ซึ่งเครื่องนี้ดัดแปลงมาจากเครื่องโทรเลขอีกแล้วววว)
ต่อมาในช่วงปี 1920 เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิคที่สมบูรณ์แบบที่สุดในยุคนั้นได้ถือกำเนิดขึ้นมันคือ “เธรามิน” (Theremin) ผลิตโดย วิศวกรชาวรัสเซียชื่อนาย “Leo Theremin” [ลีโอ เธรามิน] ถูกจดสิทธิบัตรที่ อเมริกาในปี 1928
ความน่าสนใจของเจ้าเครื่องนีคือผู้เล่นจะต้องโบกมือเปล่าไปมาในอากาศ เพื่อสร้างและควบคุมเสียงให้เกิด Pitch ที่สูงต่ำ เป็นทำนอง(โคตรล้ำมาเป็น100ปีละ)(มันคล้ายๆกับเซ็นเซอร์ D-beam ของ Roland)ซึ่งหลังจากดนตรีเครื่องนี้ ถูกผลิตออกมาก็ได้เครื่องดนตรีอื่นๆถูกตามมาอีกอีกมากมายโอเค ไปต่อ…
ไทม์ไลน์สำคัญที่มนุษยชาติเริ่มประพันธ์เพลง โดยมีซาวด์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิคก็มาถึงในช่วงนี้ปี 1940 ทั่วทุกมุมโลกได้ก่อกำเนิดแนวดนตรีอย่าง Electroacoustic (อิเล็กโทรอะคูสติก) ในกรุงไคโร , อียิปต์ Acousmatic และ (อะคูสเมติก) Musique concrète (มิวสิคคอนครีต) ในฝรั่งเศษซึ่งในสมัยนั้นการทำเพลงอิเล็กทรอนิคคือ การแก้ไขและบิดเบือนชิ้นส่วนของเสียงธรรมชาติหรือเครื่องดนตรีดนตรีต่างๆที่ถูกบันทึกเอาไว้อยู่แล้วเพื่อให้กำเนิดทำนองใหม่ๆ ต่อมาในช่วงปี 1950 ได้เกิดการผลิตเพลงที่สร้างโดย Electronic Genarator ครั้งแรกของโลก ผู้สร้างคือ “คาร์ลไฮนซ์ ชต๊อคเฮาเชิน” (Karlheinz Stockhausen) และในช่วงทศวรรษเดียวนี้ ก็ได้ก่อกำเนิดการทำเพลงด้วยการใช้อัลกอริทึมของคอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกันนะยาววววววว….
โอเคร มาถึงในช่วงปี 1960 – 1970 นี่จะเป็นช่วงเวลาที่โคตรมันส์โคตรสนุกเพราะมันกำลังจะเกิดยุคเฟื่องฟูของเทคโนโลยีดนตรีในสมัยนั้นเริ่มมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในอุตสากรรมดนตรีมากขึ้นและนี่คือจุดที่ทำให้เรามี Synthesizer ใช้มาจนปัจจุบันแนวดนตรีที่ก่อกำเนิดในยุคต้น 60’s ก็อาทิเช่น Drone กำเนิดขึ้นที่ USA , Dub กำเนิดขึ้นที่ Jamica Ambient กำเนิดขึ้นในหลายประเทศ อย่าง เยอรมัน ญี่ปุ่น และในฝั่ง UK สิ่งแรกอยากพูดถึงมากที่สุดคือ
“Moog” Modular Synthesizer โมเดลเเรกที่ผลิตเพื่อเชิงพาณิชย์ และก่อให้เกิดเเนวคิดแบบ Analog Synth ผลิตโดย “Robert Moog” ตั้งแต่ ค.ศ.1965 นับเป็นก้าวแรกของอุตสาหกรรมดนตรี ที่เราจะได้ยินของเครื่องสังเคราะห์อยู่ในเพลงฮิตตลาดในช่วงนั้น มีการนำเจ้าเครื่อง Moog Modular มาร่วมเล่นในวงดนตรี ศิลปินที่มีผลงานเพลงโดยใช้ Synthesizer บันทึกเสียงในยุคนั้นก็มีมากมาย อาทิ เช่น
– The Door 
– Grateful Dead 
– The Beatles 
– The Rolling Stone 
– Emerson Lake & Palmer 
– the Velvet underground
และ วง Robot-pop ยุคแรกของโลกอย่าง “Kraftwerk” (Daftpunk มีวงนี้เป็นไอดอล) ที่ทำเพลงอิเล็กทรอนิคเชิงทดลองแบบเพียวๆมาให้ฟังตั้งแต่ในยุคนั้น สังเกตุได้ว่า เครื่องดนตรีอิเล็คทรอนิคนั้นมีอิทธิพลวงการดนตรีแนวป็อบหรือร็อคในยุคนั้นมากๆอีกทั้งในช่วงปี 70’s ก็ได้ก่อกำเนิดเครื่อง Turntables และ Drum Machine ตามออกมาติดๆ ซึ่งทำให้เกิดแนวใหม่ๆขึ้น เช่น Disco , KrautRock , SynthPop , NewWave , Hiphop , EDM , Chiptone , Space Music , Japannoise และ Industrial ต่อมาในช่วงปี 80’s-90’sก่อกำเนิด Synthesizerในรูปแบบของ Digital ที่ได้ความนิยมสูง พกพาสะดวกราคาถูกคนทั่วไปเข้าถึงง่ายโมเดลที่โด่งดัง ในช่วงนั้นคือ YAMAHA DX7 MK1 ซึ่งเรียกได้เป็นซินท์สามัญประจำห้องอัดเลยก็ว่าได้ เพลงฮิตในสมัยนั้น คือต้องมีเสียงของเจ้าตัวนี้อยู่เกือบทุกวง ทุกศิลปินและได้รับความนิยมจนทุกวันนี้และด้วยความที่คนทั่วไปเริ่มเข้าถึงทั้งเพลงแนวอิเล็กทรอนิคและเครื่องดนตรีประเภทนี้ได้ง่ายขึ้น ดนตรีอิเล็กทรอนิคจึงได้กลายมาเป็นกระเเสหลัก และ วัฒนธรรมของสมัยนิยมโดยปริยายในช่วงนี้เป็นช่วงที่ถือกำเนิดเเนวเพลงย่อยที่เรารู้จักดี อย่างเช่น
Electro , Trance , House , EBM ,Techno , Breakbeat ,Electronica , Jungle , Drum and Bass และ City-pop
แนวเกือบหลักเหล่านี้ แยกและย่อยขยายในย่อยของย่อยออกอีกมาจนปัจจุบัน (Electronic เนี่ยน่าจะเป็นแนวดนตรีที่มีแนวย่อยเยอะที่สุดแล้วกระมังขอรับ)และในช่วงปี 1989 ที่กรุงเบอร์ลินได้เกิด Street Party ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ชื่อว่า “Love Parade”มีคนเข้าร่วมมากกว่า1ล้านคน ซึ่งสร้างแรงบันดาลให้กับงาน Electronic music Festival ดังๆในปัจจุบันพบกันใหม่อีพีหน้าย๊าววววววยาวววววสุดๆ